464 จำนวนผู้เข้าชม |
เนื่องสถานการณ์โรคโควิด-19 ได้แพร่ระบาดไปอย่างกว้างขวาง จนไม่สามารถจะมีน้ำยาในการตรวจเชื้อโควิด-19 ได้ครอบคลุมจำนวนผู้ป่วยได้ แม้แต่ในกรุงเทพมหานครก็เริ่มจะไม่มีเตียงฉุกเฉินรองรับเพียงพอได้ ส่งผลทำให้อัตราการเสียชีวิตสูงมากขึ้นเป็นลำดับ สถานการณ์ในเวลานี้วิกฤติมากขึ้นแล้ว และเกินกำลังบุคลากรทางการแพทย์แล้ว
ประเทศไทยได้มีการระบาดไปทั่วตั้งแต่หลังสงกรานต์เป็นต้นมา มีผู้ป่วยที่ไม่แสดงอาการจำนวนมาก แม้ผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้วหากติดเชื้อก็ยิ่งไม่แสดงอาการ จนถึงขั้นเกิดการแพร่ระบาดไปทั่ว และด้วยข้อจำกัดต่างๆของการฉีดวัคซีนก็ยังไม่ใช่คำตอบที่ดีที่สุดในสถานการณ์เช่นนี้ เช่น ปัญหาฉีดวัคซีนแล้วติดเชื้อได้อีก, ปัญหาไวรัสกลายพันธุ์เร็วกว่าอัตราการฉีดวัคซีน, ปัญหาวัคซีนไม่พอ, ปัญหาคนกลัววัคซีน ฯลฯ
ในสถานการณ์เช่นนี้ จึงเหลือทางเดียวเท่านั้นคือ “การบำบัดรวมหมู่” หรือ Herd Therapy โดยการใช้ฟ้าทะลายโจรเป็นวาระหลัก ไม่ใช่เพื่อการ “ป้องกัน” แต่จะใช้ฟ้าทะลายโจรในปริมาณเพียงพอสำหรับบำบัดเบื้องต้นสำหรับ “ผู้ป่วยติดเชื้อ” ที่ไม่แสดงอาการ หรืออาการน้อย เพื่อลดเชื้อ “พร้อมกัน” และต้องเป็นปริมาณสำหรับ “ผู้ที่ไม่ป่วย” จะไม่เกิดพิษเฉียบพลัน และพิษเรื้อรังด้วย อันจะนำไปสู่การลดเชื้อรวมหมู่ และบำบัดรวมหมู่ได้
ผมจึงเสนอให้มีการกินฟ้าทะลายโจรกิน “พร้อมกัน” สำหรับ “ทุกคน” ใน “ทุกสถานที่” ที่มีการตรวจพบผู้ป่วยเชื้อโควิด-19 แม้เพียงคนเดียว โดยให้กินทั้งผู้ที่ป่วยและไม่ป่วย และผู้ที่ไม่รู้ว่าป่วยหรือไม่เพราะไม่ได้ตรวจหาเชื้อ หรือไม่มีคิวตรวจเชื้อ
โดยการใช้ “ผงหยาบ” ในปริมาณ 6 กรัมต่อวัน (6,000 มิลลิกรัมต่อวัน) สำหรับคนที่มีน้ำหนักประมาณ 50 กิโลกรัม ติดต่อกันเป็นเวลา 5 วัน ซึ่งเป็นปริมาณยาซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าถึง “จุดการรักษา”ขั้นต่ำสุดของโรคหวัด และมีความ “ปลอดภัย” พอสำหรับคนที่ไม่ป่วยเลย เพราะไม่ถึงปริมาณยาที่ทั้งจะเกิดพิษเฉียบพลัน และไม่เป็นพิษเรื้อรังด้วย เพราะไม่ได้กินต่อเนื่องกัน 6 เดือน แต่จะกิน “พร้อมกัน” 5 วันเท่านั้น
ขอย้ำว่าปริมาณ 6 กรัมต่อวัน ที่เป็น “ผงหยาบ” ฟ้าทะลายโจรตามธรรมชาตินั้น คือปริมาณที่บัญชียาหลักแห่งชาติได้เคยกำหนดสำหรับโรคหวัดว่า เป็นปริมาณ “ขั้นต่ำสุด” คือครั้งละ 1.5 กรัม และ 4 ครั้งต่อวัน จึงเท่ากับ 6 กรัมต่อวัน โดยขั้นสูงสุดคือ 3 กรัมต่อครั้ง และ 4 ครั้งต่อวัน จึงเท่ากับ 12 กรัมต่อวัน และกำหนดไม่ให้กินต่อเนื่องเกิน 5 วัน
และปริมาณ 6 กรัมต่อวัน หรือ 6,000 มิลลิกรัมต่อวันนั้น หากมีสารแอนโดรกราโฟไลด์ขั้นต่ำสุดตามที่มาตรฐาน อ.ย.กำหนดในบัญชียาหลักแห่งชาติคือขั้นต่ำ 1% เราจะได้ปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 60 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งเป็นมาตรฐานที่ทางกรมการแพทย์แผนไทยได้เคยจ่ายยาตามปริมาณยานี้ให้กับโรงพยาบาลทั่วประเทศสำหรับ ผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 ที่ “ไม่แสดงอาการ” ซึ่งก็มีความปลอดภัยเช่นกัน
ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ผงฟ้าทะลายโจรในประเทศไทยส่วนใหญ่มีค่าแอนโดรกราโฟไลด์สูงกว่า 1% ทั้งสิ้น เท่าที่ได้เคยมีการสำรวจมาพบว่าค่าแอนโดรกราโฟไลด์ของผงฟ้าทะลายโจรจากลำต้นเหนือดินเกือบทั้งหมดน่าจะเกิน 1.7% หมายความว่าปริมาณ 6 กรัมต่อวันของผงฟ้าทะลายโจรนั้น อาจจะได้สารแอนโดรกราโฟไลด์มากเกิน 102 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งก็มากกว่าที่คาดการณ์ของการใช้สารสกัดฟ้าทะลายโจรที่มีสารแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 60 มิลลิกรัมต่อวัน สำหรับ “ผู้ป่วยโควิด-19 ที่ไม่แสดงอาการ” ของกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้เคยจ่ายมาแล้วด้วย
ในขณะที่ผงฟ้าทะลายโจรที่มีคุณภาพสูงเช่น ฟ้าทะลายโจรที่ทำจากใบโดยเฉพาะ หรือมีสัดส่วนของใบฟ้าทะลายโจรมากกว่า อาจจะมีสารแอนโดรกราโฟไลด์มากถึงหรือมากกว่าแต่ใกล้เคียง 180 มิลลิกรัมต่อวัน ในการบริโภค 6 กรัมต่อวัน ซึ่งก็ยังไม่พบว่าจะมีอันตรายได้เช่นกัน โดยเฉพาะการกินในรูป “ผงบดหยาบ”
ถามว่าผงหยาบฟ้าทะลายโจร 6 กรัมต่อวันนั้น สำหรับผู้ที่มีน้ำหนัก 50 กิโลกรัม เป็นเท่าไหร่
คำตอบก็คือ หากใช้แคปซูลขนาด 400 มิลลิกรัม จะใช้ประมาณ 16 เม็ดต่อวัน แบ่ง 4 เวลา เช้า กลางวัน เย็น ก่อนนอน ครั้งละ 4 เม็ด
และสำหรับ 6 กรัมต่อวัน สำหรับแคปซูลขนาด 500 มิลลิกรัม จะใช้ประมาณ 12 เม็ดต่อวัน หรือ 3 เม็ดต่อครั้ง และ 4 ครั้งต่อวัน ก็จะได้ 6 กรัมเช่นกัน
แต่มีข่าวดีกว่านั้น เพราะการวัดผลการใช้ฟ้าทะลายโจรที่เรือนจำกรุงเทพ ซึ่งรายงานผลโดยนายแพทย์เอนก มุ่งอ้อมกลาง สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 4 จังหวัดสระบุรี สรุปความว่าฟ้าทะลายโจรแบบ “ผงหยาบ” ขนาดแคปซูล 400 มิลลิกรัม ในปริมาณ 12 เม็ดต่อวัน (4 เม็ดต่อครั้ง 3 ครั้งต่อวัน) ซึ่งคำนวณผงได้ 4.8 กรัมต่อวัน ในการกินเพียง 5 วันเท่านั้น สามารถรักษาผู้ป่วยโควิด-19 จนตรวจไม่พบเชื้อโควิด-19 เลย ใช้เวลา 8 วันเร็วกว่ายาฟาวิพิราเวียร์ที่ต้องใช้เวลาถึง 12 วัน
ข้อสำคัญคือเมื่อได้ทราบข้อมูลสารแอนโดรกราโฟไลด์ในผงฟ้าทะลายโจรที่ได้จ่ายให้ทุกคนในเรือนจำพบว่ามีปริมาณสารแอนโดรกราโฟไลด์เพียง 132 มิลลิกรัมต่อวัน น้อยกว่า “สารสกัด” ฟ้าทะลายโจรที่มีแอนโดรกราโฟไลด์ที่ 180 มิลลิกรัมต่อวัน ตามที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้ใช้อยู่
ในขณะที่ “ผงหยาบ” ฟ้าทะลายโจรที่ใช้กับนักโทษที่เรือนจำกรุงเทพมีเพียงแค่ 4.8 กรัมต่อวันนั้น ต่ำกว่าปริมาณที่ใช้ในผู้ป่วยไข้หวัดธรรมดาที่กำหนดให้ขั้นต่ำสุด 6 กรัมต่อวัน ยังสามารถลดเชื้อโควิด-19 จนตรวจไม่พบเชื้อใน 8 วัน หากมีการกินตามาตรฐานสำหรับไข้หวัดธรรมดาเพียง 6 กรัมต่อวัน ก็อาจทำให้อัตราการลดเชื้อเร็วกว่านี้ และอาจจะใช้เวลาเพียง 5 วันพอๆกับระยะเวลาที่กินผงหยาบฟ้าทะลายโจร 5 วันเช่นกันก็ได้
ข้อน่าสังเกตจากการเก็บข้อมูลที่คลัสเตอร์คลองเตย โดยคุณรสนา โตสิตระกูล กรรมการมูลนิธิสุขภาพไทย พบกรณีศึกษาหลายครอบครัวที่พักอาศัยอย่างแออัดพบว่า คนในบ้านหรือพักอาศัยในห้องเดียวกันที่กินฟ้าทะลายโจรแบบ “ผงหยาบ” ทันทีตั้งแต่ยังไม่ป่วย ประมาณ 12 เม็ดต่อวัน (4.8 กรัม) กลับพบว่าไม่ติดเชื้อเลย ในขณะที่พบคนติดเชื้อสำหรับผู้ที่ไม่ได้กินฟ้าทะลายโจร โดยบางกรณีติดเชื้ออยู่คนเดียวที่ไม่ได้กินฟ้าทะลายโจรสมาชิกในครอบครัวที่เหลือที่กินฟ้าทะลายโจรกลับไม่ติดเลย ทั้งๆที่พักอยู่ในบ้านหลังเดียวกันหรือห้องเดียวกัน ทำให้ได้ข้อสันนิษฐานว่าแม้ว่าฟ้าทะลายโจรจะไม่ได้อยู่ในฐานะยาป้องกัน แต่อาจลดเชื้อที่ยังมีไม่มากให้หายลงไปได้ จึงน่าจะใช้แนวคิดนี้สำหรับการ “บำบัดรวมหมู่”ได้
นอกจากนี้จากประสบการณ์ตรงของผู้เขียนได้พบว่าการบริโภค “ผงหยาบฟ้าทะลายโจร” เมื่อนำมาใช้กับสถานที่ซึ่งพบว่ามีผู้ป่วยโควิด-19 แม้เพียงคนเดียว หากกินฟ้าทะลายโจรพร้อมๆกันในสถานที่นั้น จะพบว่าจะสามารถหยุดการระบาดได้ ดังตัวอย่างเช่น
มีผู้ป่วยโควิด-19 ในแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศของสำนักงานแห่งหนึ่ง 2 คน จึงได้มีการใช้ฟ้าทะลายโจรให้กับ “ทุกคน”ในชั้นที่ทำงานนั้น และกินแคปซูลผงฟ้าทะลายโจรขนาด 400 มิลลิกรัม จำนวน 16 เม็ดต่อวัน “พร้อมกัน”ติดต่อกัน 5 วันจะไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในสถานที่แห่งนั้นเลย
เช่นเดียวกับห้างแห่งหนึ่ง ซึ่งมีพนักงานในร้านอาหารแห่งหนึ่งพบผู้ติดเชื้อ 2 คน จึงได้มีการใช้ฟ้าทะลายโจรให้กับ “ทุกคน”ในร้านนั้น และกินแคปซูลผงหยาบฟ้าทะลายโจรขนาด 400 มิลลิกรัม จำนวน 16 เม็ดต่อวัน “พร้อมกัน”ติดต่อกัน 5 วันจะไม่พบผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นในสถานที่แห่งนั้นเลย เช่นกัน
จากหลักการข้างต้นในการใช้ฟ้าทะลายโจร จึงเสนอแนวคิดดังนี้
1.หากมีสถานที่ใดพบว่ามีผู้ติดเชื้อโควิด-19 แม้แต่คนเดียว ให้สถานที่แห่งนั้นให้กินฟ้าทะลายโจรแบบ “ผงหยาบ” ขนาดแคปซูล 400 มิลลิกรัม จำนวน 4 เม็ดต่อครั้ง และ 4 ครั้งต่อวัน ให้สถานที่นั้นกำหนดให้ “กินพร้อมกัน” และ “กินทุกคน” เพื่อ “ลดเชื้อรวมหมู่” เพื่อป้องกันการสลับกันติดเชื้อของผู้ป่วย
2.หลักการสำคัญคือต้อง “กินพร้อมกัน “ และ “กินทุกคน” เพื่อเป็นการบำบัดรวมหมู่ และกินให้เร็ว และทำทันทีเพื่อลดเชื้อรวมหมู่ให้เร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว สถานที่ทำงาน แคมป์คนงาน
3.เงื่อนไขสำหรับเด็กให้คำนวณตามน้ำหนักเด็กเป็นสำคัญตามสัดส่วน 6 กรัมต่อวันสำหรับน้ำหนัก 50 กิโลกรัม
4.การกินฟ้าทะลายโจรอาจทำให้น้ำตาลอาจลดลง ความดันลดลง เลือดเหลวตัวลง ดังนั้นผู้ที่กินยาแผนปัจจุบันอยู่ทั้งยาลดน้ำตาล ยาลดความดัน และยาละลายลิ่มเลือด จะต้องพิจารณาเอาเองจากการตรวจวัดอย่างรอบคอบว่าจะเลือกกินฟ้าทะลายโจรแล้วหยุดยาระหว่างการ “บำบัดรวมหมู่” หรือจะไม่กินยาฟ้าทะลายโจร
5.ยาผงฟ้าทะลายโจรเป็นยารสขมและมีฤทธิ์เย็น มีสรรพคุณมากกว่าลดไข้ ไข้หวัด เจ็บคอ แต่ยังมีสรรพคุณในการต้านการอักเสบ เสริมภูมิคุ้มกัน ต้านอนุมูลอิสระ ลดน้ำตาล ลดความดันโลหิต ต้านมะเร็ง และทำให้นอนหลับง่ายขึ้น จึงให้ดูสรรพคุณเหล่านี้ว่าเหมาะกับตัวเองหรือไม่
6.สำหรับผู้ที่แพ้ฟ้าทะลายโจร ให้หยุดยาฟ้าทะลายโจร มีคำแนะนำว่าสตรีตั้งครรภ์ไม่ควรใช้ฟ้าทะลายโจร (แต่มีหมอแพทย์แผนไทยบางคนได้จ่ายให้สตรีมีครรภ์ที่ป่วยเป็นโควิด-19 และให้ผลดีด้วย)
7.สำหรับผู้ที่มีภาวะตัวเย็นเกิน (มือเท้าเย็น หนาวง่าย) ไทรอยด์ต่ำ ความดันต่ำ และยังไม่ได้ป่วย แต่ต้องการกินบำบัดรวมหมู่ ก็สามารถพิจารณากินคู่กับเครื่องดื่มฤทธิ์ร้อนประกบไปตลอดทั้งวัน เช่น น้ำขิง พริกไทย ดีปลี กระชาย และอาหารเผ็ดร้อน แต่เมื่อเป็นไข้ เจ็บคอ ให้หยุดยาฤทธิ์ร้อนเหล่านี้โดยทันที แล้วกินยาฟ้าทะลายโจรอย่างเดียว
ใครเห็นด้วยช่วยกดไลค์และแชร์ด้วย
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีสถาบันแพทย์แผนบูรณาการและเวชศาสตร์ชะลอวัย มหาวิทยาลัยรังสิต
https://www.facebook.com/123613731031938/posts/4236016656458271/